เทศน์บนศาลา

ธรรมซื้อไม่ได้

๓o ต.ค. ๒๕๕๙

ธรรมซื้อไม่ได้

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

เทศน์บนศาลา วันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๙

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่ .หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรม 

เราเป็นชาวพุทธ เราจะประพฤติปฏิบัติธรรม เราจะมีคุณธรรมในหัวใจของเรา ถ้าเราจะมีคุณธรรมในหัวใจของเรา เราต้องมีสติมีปัญญาคัดเลือกคัดแยก คัดแยกสิ่งใดที่ถูกต้องดีงาม ศีล สมาธิ ปัญญาเป็นทางสัมมาทิฏฐิ ไม่ใช่เป็นมิจฉาทิฏฐิ 

ถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิความเห็นผิด ความเห็นของเรา ความเห็นผิดของเรา เรามีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ทำสิ่งใดที่มันง่าย มักง่าย อยากได้ ด่วนได้ ไม่มีสติปัญญา สิ่งใดที่ว่าเป็นธรรมๆ ก็ว่าเป็นธรรมๆ เป็นธรรมทั้งหมด มันเป็นไปไม่ได้

ถ้ามันเป็นไปได้นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้วไม่ท้อใจๆ หรอก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ ถ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม อนาคตังสญาณรู้หมด รู้ถึงว่าอำนาจวาสนาบารมีของคน รู้ถึงอำนาจการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของจิตดวงหนึ่งแต่ละดวงที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา องค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ ก็ไม่รู้ เพราะไม่รู้ถึงโดนเขาหลอกๆ พอโดนเขาหลอกเพราะอะไร เพราะเจ้าลัทธิต่างๆ เขาปฏิญาณตนว่าเขาเป็นศาสดาทั้งนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับเขาๆ ศึกษากับเขาจนหมดความรู้ของเขา แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังไม่เข้าใจเรื่องสัจจะความจริงในชีวิตขององค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้เองโดยชอบ โดยชอบคืออวิชชา ทำลายอวิชชา ทำลายพญามาร ทำลายเจ้าวัฏจักรในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงรู้แจ้งแทงตลอดไง การรู้แจ้งแทงตลอด รู้แจ้งแทงตลอดในจิตต่างๆ อนาคตังสญาณรู้ถึงอนาคตการจะเกิดขึ้นอย่างใด องค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ไปถึงอนาคต พระศรีอริยเมตไตรยจะตรัสรู้ข้างหน้า มีอนาคตวงศ์ข้างหน้าอีก ๑๐ องค์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ไปอนาคตยาวไกลเลย นั่นเพราะอะไรล่ะ

เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ถ้าทำลายอวิชชาแล้วมันเปิดกระจ่างแจ้งในใจขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังท้อใจในการสั่งสอน ท้อใจเพราะอะไร ท้อใจเพราะสอนเท่าไรเขาก็ไม่รู้ สอนเท่าไรเขาก็ไม่เข้าใจ 

ถ้าสอนที่มันเข้าใจ สมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ยังดำรงพระชนม์ชีพอยู่ พระในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด จะไม่มีฉัพพัคคีย์ ไม่มีสัตตรสวัคคีย์ ไม่มีพระที่เข้ามาสร้างปัญหาในสังคมสงฆ์ในสมัยพุทธกาลมหาศาลเลย ฉัพพัคคีย์ๆ ธรรมวินัยที่เกิดขึ้นมาเกิดจากฉัพพัคคีย์ทั้งนั้น ฉัพพัคคีย์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติวินัยขึ้นมาข้อใดก็แล้วแต่ เขาจะเข้ามาหลบมาหลีก มาปลิ้นปล้อนอยู่อย่างนั้น

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องมีอนุบัญญัติๆ อนุบัญญัติต่อเนื่องกันมา ต่อเนื่องกันมา ฉะนั้น ธรรมวินัยมันถึงมีมากมายไง มากมายเพราะอะไรล่ะ มากมายเพราะพระสมัยนั้นๆ ถ้าพระสมัยนั้นแสดงว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำไมไม่สั่งสอนให้เป็นพระอรหันต์หรือบรรลุธรรมทั้งหมดล่ะ

เขาทำไม่ได้ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จ้ำจี้จ้ำไชอยู่นั่นแหละ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเนี่ยอนุบัญญัติๆ บัญญัติธรรมวินัยขึ้นมา อย่างนี้ไม่ใช่บังคับหรือ อย่างนี้ไม่ได้สั่งสอนหรือ ก็สั่งสอนทั้งนั้นนะ” 

ทำไมเขาไม่เป็นๆ” 

ไม่เป็นเพราะว่านี่ไง ไม่เป็นเพราะว่าอำนาจวาสนาของเขาไง” 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม เวลาพุทธกิจ ๕ เล็งญาณนะ อยากจะรื้อสัตว์ขนสัตว์นะ แต่รื้อสัตว์ขนสัตว์ สัตว์ที่มีอำนาจวาสนา สัตว์ที่กิเลสบางเบา สัตว์ที่มีจริตนิสัย สัตว์ที่มีสติปัญญาพูดแล้วเข้าใจ พูดแล้วฟังได้ พูดแล้วขวนขวาย พูดแล้วพยายามจะขวนขวาย พยายามจะกระทำ แต่พูดแล้วจ้ำจี้จ้ำไชขนาดไหน สิ่งที่เขามาบวช บวชเพื่ออะไร บวชเพื่อลาภสักการะไง 

ดูสิ สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เห็นไหม เวลาศรัทธาในพระพุทธศาสนาท่านดูแลค้ำชูพระพุทธศาสนา พระมาบวชกันมหาศาลเลย พอพระบวชมหาศาลถามถึงธรรมวินัยไม่เข้าใจ ทั้งๆ ที่ดำรงชีพเป็นพระแต่ไม่รู้ไม่เข้าใจ ถามเรื่องอริยสัจตอบไม่ได้ สุดท้ายแล้วไปปรึกษาอาจารย์ของตน พระติสสะ พระติสสะก็บอกให้ทำสังคายนา จับพระทั้งหมดถามเลย “พระพุทธเจ้าสอนอะไร” ถ้าตอบผิดจับสึกๆ จับสึกเลย แต่ถ้าถูก เห็นไหม ถ้าถูกให้ดำรงชีพเป็นพระต่อไป ให้ประพฤติปฏิบัติต่อไป ให้ขวนขวายต่อไป เขาบวชมาเพื่ออะไร เขาบวชมาพระเจ้าอโศกมหาราชเป็นผู้ค้ำชู เป็นผู้ดูแล ถ้าผู้ดูแลขึ้นมา เห็นไหม 

นี่พูดถึงว่าเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท้อใจๆ ท้อใจกิเลส ท้อใจพญามารในใจของคน ท้อสิ่งที่มันครอบงำในใจ ถ้ามันครอบงำในใจ เห็นไหม สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท้อใจ ท้อใจตรงนั้น ถ้าท้อใจตรงนั้น เราเกิดมาเป็นชาวพุทธ เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอน เห็นไหม สอนที่สุดแห่งทุกข์ แล้วที่สุดแห่งทุกข์เรามีอำนาจวาสนานะ มีอำนาจวาสนา ครูบาอาจารย์ของเราท่านพาบุกเบิกมา ถ้าพาบุกเบิกมาท่านได้ปราบปรามกิเลสในใจของท่านมา ท่านทำอย่างใด 

การศึกษา ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถูกต้อง การศึกษานี้ถูกต้องดีงามนะ เพราะมันเป็นปริยัติ การปริยัติถ้าเขาไม่ศึกษา ไม่ศึกษาศาสนามันก็สูญหายไปแล้วน่ะสิ ก็ต้องมีการศึกษาจดจำกันมาๆ การศึกษาคือการจดจำกันมา การจดจำมาแล้วส่งต่อมาเป็นทอดๆ มา ดูสิ ผู้ที่มาบวชๆ บวชในพระพุทธศาสนา บวชมาอย่างน้อยก็ได้ประเพณีวัฒนธรรม อย่างน้อยก็กราบเบญจางคประดิษฐ์เป็น อย่างน้อยลงอุโบสถมันก็ได้เห็นการดำรงชีพ ได้เห็นวัฒนธรรมของชาวพุทธ แล้วมีการศึกษา ศึกษาก็จดจำธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อเนื่องมา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว เห็นไหม เวลาทำสังคายนาพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ พระกัสสปะก็เห็นความที่พระผู้เฒ่าว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้านิพพานไปแล้วก็ดีแล้ว ไม่มีคนคอยจี้คอยไชไง นี่ เห็นไหม เขามีความคิดอย่างนั้น เขาจะมีความสุขความสบายของเขา พระกัสสปะมีความสะเทือนใจ พอสะเทือนใจนิมนต์พระอรหันต์ทั้ง ๕๐๐ องค์ทำสังคายนา 

การทำสังคายนามา เห็นไหม สังคายนามาเป็นแนวทางเถรวาท แนวทางเราเชื่อพระเถระ ๕๐๐ องค์ที่เป็นพระอรหันต์ ทำสังคายนาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้ามา แล้วก็ศึกษาจดจำกันมาๆ ตรงนั้น ศึกษาจดจำกันมาแล้วผู้ที่ประพฤติปฏิบัติที่มันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา ก็เป็นเครื่องเชิดชูธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าว่า สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันมีอยู่จริงในใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง

ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ โดยเจ้าลัทธิต่างๆ ที่เขาปฏิญาณตนว่าเขาเป็นศาสดา เขาเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน แต่ทำไมแนวทางมันไม่เหมือนกันล่ะ ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนออกไปบิณฑบาต ถ้ายังมีเวลาเหลืออยู่จะไปสนทนาธรรมกับเจ้าลัทธิต่างๆ

สิ่งต่างๆ มันชัดเจน ชัดเจนเพราะเป็นความจริงไง ความจริงมันคงทนต่อการพิสูจน์ ความจริงไง ความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตาย แล้วพิสูจน์ได้ตลอดเวลา ไอ้ความจอมปลอม ความจอมปลอมในใจของเขามันก็เป็นเรื่องฌานโลกีย์ เป็นเรื่องไสยศาสตร์ ความเชื่อตามๆ กันมา ถ้ามันเป็นอย่างนั้นมันจะเป็นความจริงมาได้อย่างไร 

ถ้าคนที่มีอำนาจวาสนามันมีจริตนิสัยมันต้องคิดได้ ถ้าคนคิดได้ เห็นไหม เพราะคนคิดได้ ดูสิ เวลาพระสารีบุตรเวลาไปเห็นพระอัสสชิทำไมมันตื่นเต้น มันเห็นว่าความสงบเสงี่ยมนั้นออกมาจากใจมันเป็นความมหัศจรรย์ ตามไปๆ ไปฟังธรรม พอฟังธรรมด้วยสติด้วยปัญญา ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ไปดับที่เหตุนั้น พระสารีบุตรเป็นพระโสดาบันขึ้นมาทันทีเลย เวลาไปสอนพระโมคคัลลานะก็เป็นพระโสดาบันขึ้นมาเหมือนกัน สุดท้ายแล้วรวมลูกศิษย์ของตน ทั้งหมู่คณะของตน ๕๐๐ คนไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการจนเป็นพระอรหันต์ทั้งหมดเลย

คนที่มีวาสนามีสติมีปัญญามันรู้จักคัดแยก รู้จักเลือกว่าอะไรเป็นความจริง และอะไรไม่เป็นความจริง เวลาไปอยู่กับสัญชัย สัญชัยเขาสอนอย่างไร มันไม่เป็นความจริง อย่างไร มันก็ไม่เป็นความจริง ถ้าไม่เป็นความจริงทั้งๆ ที่เป็นอาจารย์ของเรามันก็สงสัยนะ อาจารย์ของเราสอนแล้วทำไมมันไม่กระจ่างแจ้งในใจล่ะ 

แต่ไปเห็นพระอัสสชิเขาไม่ได้สอน เขาดำรงชีพของเขาด้วยการบิณฑบาต แต่การบิณฑบาต การเหยียด การคู้ การเดิน มีสติสัมปชัญญะ คนที่มีสติปัญญาเขาเห็นได้ เขารู้ได้ เขาตามไปๆ ตามด้วยมารยาทไง ตามนักบวชไปให้นักบวชท่านได้ฉันจังหันของท่านก่อน ฉันเสร็จแล้วถึงให้ท่านล้างบาตรเช็ดบาตรเสร็จแล้วถึงได้ไปคุยสนทนาธรรมกับท่าน พอสนทนาธรรมกับท่าน ท่านถึงตอบมา 

นี่คนที่มีสติมีปัญญาเขารู้จักคัดเลือก เขารู้จักคัดแยกของเขา อะไรเป็นความจริง และไม่เป็นความจริง แต่ของเรา ดูสิ เราประพฤติปฏิบัติกัน ถ้าตามความเป็นจริงมันต้องเป็นสัจธรรมตามเป็นจริง

ครูบาอาจารย์ของเราท่านพระพฤติปฏิบัติมา ถ้าประพฤติปฏิบัติมามันเป็นความจริงขึ้นมาในหัวใจนะ เวลาหลวงปู่มั่นท่านเทศนาว่าการของท่าน ท่านบุกเบิกของท่าน มันเป็นความทุกข์ความยากมาทั้งนั้น เวลาจิตใจของท่าน ท่านจะทำให้สงบของท่านเข้ามา ถ้าสงบของท่านเข้ามาแล้วท่านจะยกขึ้นสู่วิปัสสนา ยกขึ้นสู่การกระทำอย่างไร ท่านทำของท่านมาด้วยความบากบั่น ความบากบั่นมันเป็นความจริงไง มันเป็นความจริง มันเป็นการประพฤติปฏิบัติ มันเป็นข้อเท็จจริงในใจของท่าน แล้วท่านถึงมาสั่งสอนพวกเรา เพราะท่านทำของท่านแล้ว ท่านทำความเป็นจริงของท่าน นั่นเป็นความจริง 

แต่ถ้าเป็นความจอมปลอมๆ การศึกษาการจดจำมาก็จดจำมาเป็นปริยัติ จดจำมา เห็นไหม ด้วยความภูมิใจของฝ่ายการศึกษา เขาภูมิใจนะว่าศาสนาเจริญๆ เจริญเพราะการศึกษาก็ถูกต้อง เพราะการศึกษาภาษาเราว่ามันง่าย มันมีตำรับตำราให้ท่องจำ มันมีตำรับตำราให้ค้นคว้า ถ้ามีตำรับตำราให้ค้นคว้า เราทรงจำศาสนากัน เราบวชมา มาค้ำชูศาสนา เวลามาบวชแล้วพ่อแม่ได้ ๑๖ กัป มาค้ำชูศาสนา ศาสนามีความสำคัญมาก มันมีคุณธรรมมาก มันสามารถชำระ ธรรมโอสถสามารถชำระการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย ให้ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายได้ มันมีคุณค่ามาก มันสูงส่งมาก แล้วมันสูงส่งมากแล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ

ถ้ามันอยู่ที่ไหน เห็นไหม ถ้ามันปล่อยมันก็จะออกนอกลู่นอกทาง มันถึงมีภาคปริยัติให้มีการศึกษา ให้มีการทรงจำกัน ทรงจำมาเพื่อเป็นปริยัติ ศึกษามาเพื่อความมั่นคงของศาสนาๆ แล้วถ้ามีผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ผู้ที่มีอำนาจวาสนาประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงขึ้นมา มันจะมีคุณธรรมในใจอันนั้น ถ้ามีคุณธรรมในใจอันนั้นเขาก็จะเป็นศาสนทายาท เป็นผู้ชักนำ เป็นผู้สั่งสอน เป็นผู้เหนี่ยวรั้งให้ผู้ที่ปฏิบัติให้เข้าสู่สัจจะ เข้าสู่ความจริง แล้วเราก็แสวงหาอย่างนั้น 

โปฐิละๆ ใบลานเปล่า ใบลานเปล่า เขาก็ทรงจำธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้า สั่งสอนปริยัติ สั่งสอนการศึกษา ลูกศิษย์ ๕๐๐ จะไปไหนคนเชื่อถือศรัทธามาก เพราะเขามีชื่อเสียงมาก พอมีชื่อเสียงมากไปที่ไหนมีคนอุปัฏฐากอุปถัมภ์ค้ำชูทั้งนั้น แต่เวลาไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโปฐิละใบลานเปล่ามาแล้วหรือ โปฐิละใบลานเปล่าไปแล้วหรือ” มันสะเทือนใจไง สะเทือนใจคนที่มีอำนาจวาสนา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม เวลาจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ท้อใจๆ แต่ท่านก็เล็งญาณของท่าน เล็งญาณของท่านว่าใครมีอำนาจวาสนา ถ้าใครมีอำนาจวาสนาถ้ายังเพลิดเพลินอยู่กับโลก ถ้ายังหลงใหลกับชื่อเสียง หลงใหลกับการเชิดชูของสังคม ไปไหนมีแต่คนยกย่องสรรเสริญ เห็นไหม ท่านก็กำราบเอา “โปฐิละใบลานเปล่ามาแล้วหรือ โปฐิละใบลานเปล่า...” นี่คำพูดอย่างนี้มันแทงใจ มันแทงใจคนที่ลุ่มหลงในชื่อเสียง กิตติศัพท์ กิตติคุณไง 

ถ้ามันหลงใหลไปอย่างนั้น มันก็จะต้องทรงจำธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้า ทรงจำ ทรงจำมันจิตเป็นเราใช่ไหม จิตเรามันทรงจำก็ทรงจำความคิด รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ มันเกิดดับในหัวใจ

ดูสิ เวลาการเรียนการศึกษาก็ศึกษาจากขันธ์ ๕ ศึกษาโดยสัญชาตญาณทั้งนั้น แต่จิตคือพลังงาน ตัวจิตตัวไม่ตาย ตัวขันธ์ ๕ เกิดดับ ตัวอำนาจวาสนาปัจจุบันนี้ เห็นไหม เวลาตายไปแล้วมันย่อยสลาย มันเข้าไปอยู่ใน อวิชฺชา ปจฺจยาสงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ มันเข้าไปอยู่ในปฏิสนธิจิตอันนั้น มันถึงเป็นสัญญาจำ สัญญาเข้าไปอยู่ในจิตอันนั้น เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนอดีตชาติ ย้อนอดีตชาติก็ย้อนสมบัติของท่านนั่นแหละ คนที่ย้อนอดีตชาติได้ก็ย้อนจากใจของตนนั่นแหละ เพราะใจของตนไปเกิดในภพในชาติใด มันดำรงชีวิตอย่างใด ในชีวิตมันมีความทุกข์ความยากขนาดไหน มันก็ซึมซับเข้าไปในใจลึกๆ นั่นน่ะ ในใจลึกๆ แต่มันเป็นภพชาตินั้น ภพชาตินั้น เห็นไหม 

การซึมซับเข้าไปอย่างนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาบุพเพนิวาสานุ-สติญาณ ครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านประพฤติปฏิบัติ ท่านรู้อดีตของท่านก็เพราะว่าในใจของท่าน ไม่ต้องไปค้นคว้าที่ไหน ไม่ต้องฟังใครเขาเล่ามา ไม่ต้องไปค้นคว้าในประวัติศาสตร์ มันค้นคว้าในใจของตนนั่นแหละ ถ้ามันไม่จริงมันก็คือเป็นนิมิตจริงๆ กิเลสมันหลอกว่าฉันจะเป็นใหญ่เป็นโตอย่างนั้น ถ้าใครมีอำนาจวาสนา อดีตชาติเป็นญาติเป็นวงศ์กันมา คนจนคนทุกข์คนเข็ญใจไม่มีใครเป็นญาติเลย 

ในสมัยพุทธกาล เห็นไหม ทุคตะเข็ญใจ ทุคตะเข็ญใจเขาอยากจะบวช ไปบวชที่ไหนไม่มีใครบวชให้ เพราะเขาเป็นคนทุกข์คนยาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประชุมสงฆ์ ประชุมสงฆ์เพราะเขาจะบวช แล้วเขาร่ำลือไปไม่มีใครบวชให้เลย องค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประชุมสงฆ์ถามว่า “ทุคตะเข็ญใจคนจนคนทุกข์คนยากนี่เขาเคยมีคุณกับใคร” พระสารีบุตรยกมือทันทีเลย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามพระสารีบุตรว่า “ทุคตะเข็ญใจเขามีบุญคุณอะไรกับเธอ” “เขาเคยตักบาตรข้าพเจ้าทัพพีหนึ่งครับ” เคยตักบาตรหนึ่งทัพพีกับพระสารีบุตร พระสารีบุตรยังจำคุณเขาได้ นี่นี่นี่คนที่มีคุณธรรม คนที่มีคุณธรรมเขาไม่มีสูงมีต่ำหรอก คนก็คือคน อำนาจวาสนาก็คืออำนาจวาสนา แล้วนี่เขาต้องมีอำนาจวาสนาของเขา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะรื้อสัตว์ขนสัตว์มันท้อใจ ท้อใจทั้งนั้น แต่ทุคตะเข็ญใจเขามีวาสนา ถ้าเขาไม่มีวาสนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ประชุมเรื่องนี้ขึ้นมา ถ้าประชุมเรื่องนี้ขึ้นมามันต้องมีเหตุมีผลแน่นอน ถ้ามีเหตุมีผล ถึงให้พระสารีบุตรบวชทุคตะเข็ญใจนั้น การบวชทุคตะเข็ญใจนั้นมันต้องมีหาบริขาร ๘ บริขารขึ้นมา มันต้องมีผ้าไตรจีวร มันหาได้ยากในสมัยโบราณ สิ่งนั้นพระสารีบุตรจัดการให้หมดเลย แล้วเวลาศึกษาไปแล้วบวชให้แล้วก็สั่งสอนๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะถาม “สารีบุตร ลูกศิษย์ของเธอ สัทธิวิหาริกสอนยากหรือสอนง่าย” “สอนง่ายพระเจ้าข้าๆ” สุดท้ายถึงเป็นพระอรหันต์

สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาประชุมสงฆ์ สิ่งที่มันเป็นอำนาจวาสนาของคนๆ ถ้ามันเป็นจริงมันเป็นสัจจะความจริงอย่างนั้น ถ้าปฏิบัติขึ้นมาเป็นความจริงขึ้นมา ทุคตะเข็ญใจเป็นพระอรหันต์เพราะอะไร เป็นพระอรหันต์เพราะเขามีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเป็นสมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ สมณะที่ ๔ 

การได้สมณะที่ ๔ เห็นไหม ผู้ได้เห็นสมณะเป็นมงคลชีวิต สิ่งที่เป็นมงคลชีวิตแล้วสมณะมันอยู่ที่ไหน มันอยู่ในใจอันนั้น ในใจอันนั้นเพราะอะไร ในใจอันนั้นเพราะพระสารีบุตรท่านเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านมีสติมีปัญญาของท่าน ท่านมีอำนาจวาสนาของท่าน ท่านสั่งสอนจนผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงของท่านขึ้นมา มันก็เป็นสัจจะความจริง

ธรรมะมันจะเกิดจากสัจธรรม ธรรมะเกิดขึ้นคือการประพฤติปฏิบัติให้เป็นความจริงขึ้นมา สิ่งที่เป็นความจริง ความจริงมันเกิดจากการประพฤติปฏิบัติ ความจริงมันเกิดจากหัวใจอันนี้ ถ้าความจริงเกิดจากหัวใจอันนี้ สิ่งที่ทรงจำ ทรงจำการศึกษาเป็นภาคปริยัติ ถ้าเป็นปัญญานั่นมันเป็นโลกียปัญญา ปัญญาในการจดจำ การจดจำ การทรงธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงธรรมไว้ จดจำไว้ๆ เพื่อให้คนอื่นคนที่เขามีอำนาจวาสนามาประพฤติปฏิบัติไง เหมือนมดแดงเฝ้าพวงมะม่วงเลย มะม่วงของฉันมันไต่อยู่นั่นน่ะ แต่มันไม่ได้กินหรอก เจ้าของสวนเขามาสอยไปกินหมดล่ะ

นี่ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติในความเป็นจริงของเรา เราต้องปฏิบัติความจริงของเราขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมามันจะเป็นสัจธรรม ไม่ใช่เหมือนทางโลก ถ้าทางโลกของเขา เวลาเขาประพฤติปฏิบัติของเขา เขาจะอะไรของเขา ถ้าคนมันมีคุณธรรมขึ้นมา มันก็ต้องพยายาม พยายามกระทำของเราขึ้นมา เพราะอะไร เพราะศีล สมาธิ ปัญญาไง มันไม่ทุศีลไง

ถ้าคนมันทุศีล คนโกหก ทุศีลคือคนพูดปด โป้ปดมดเท็จ ถ้ามันพูดปดมดเท็จ คนโกหกจะทำกรรมบาปช้าอย่างอื่นไม่มีอีกแล้วทำได้หมด ถ้าลองได้โกหกแล้วได้ทุศีลแล้ว สิ่งที่มันจะไม่ทำไม่มี มันทำทั้งนั้น ถ้ามันทำทั้งนั้น เห็นไหม เท่ากับอะไร เพราะมันไม่มีข้อเท็จจริงในหัวใจ ถ้าไม่มีข้อเท็จจริงในหัวใจ เห็นไหม การกระทำมันก็จะเอาชื่อเอาเสียง ไปอยู่กับครูบาอาจารย์องค์ใดก็แล้วแต่ก็ว่าเป็นลูกศิษย์ อาจารย์สั่งไว้อย่างนั้น อาจารย์สั่งไว้อย่างนี้ 

เราไปอยู่กับครูบาอาจารย์ใดก็แล้วแต่ แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติตามครูบาอาจารย์นั้น เราพยายามทำความเป็นจริงของเราขึ้นมาในหัวใจของเรา อาจารย์ก็เป็นอาจารย์ ถ้าเป็นอาจารย์นะ เขาจะยกย่องสรรเสริญนะ อย่างเช่น หลวงตาอย่างนี้ ครูบาอาจารย์ของเราท่านจะยกย่องสรรเสริญ ท่านจะเคารพบูชา การเคารพบูชาคือยกไว้ เทิดทูนไว้ สรรเสริญไว้ นี้คือการยกย่องบูชาสรรเสริญแบบธรรม ถ้าแบบธรรมถ้ามีคุณธรรมยกย่องเชิดชูครูบาอาจารย์ไว้เหนือเกล้า ถ้าคำว่า “เหนือเกล้า” ทำสิ่งใดระลึกถึงท่าน ดูสิ เวลาหลวงตาท่านพูดนะ เวลาท่านจะไปที่ไหน ท่านจะนอนถ้าไม่ได้กราบหลวงปู่มั่น ท่านนอนไม่ได้ ท่านต้องกราบหลวงปู่มั่นก่อน 

เหมือนพระสารีบุตร เวลาพระสารีบุตร เห็นไหม ได้ธรรมะจากพระอัสสชิ ถ้าได้ยินข่าวว่าพระอัสสชินอน ท่านธุดงค์ ท่านอยู่ทางทิศใดในตัวท่าน ท่านก่อนนอนท่านต้องกราบไปก่อน กราบไปก่อน คนถ้ามีธรรมในหัวใจมันจะเชิดชูบูชา ยกย่องสรรเสริญด้วยความกตัญญูกตเวที

แต่ถ้ามันไม่มีจริง ไม่มีอยู่จริง เห็นไหม คำก็อ้างอาจารย์ สองคำก็อ้างอาจารย์ อ้างไปหมด มันเป็นกาในฝูงหงส์ ถ้าเป็นหงส์ หงส์มันอยู่ในความเป็นหงส์ของมันใช่ไหม อีกามันเจ้าเล่ห์ ถ้ามันเจ้าเล่ห์ของมันอย่างนี้มันไม่ใช่ธรรม ถ้ามันทุศีลมันทำได้ทั้งนั้นนะ ถ้าคนทุศีลคนโกหกแล้วจะไม่ทำสิ่งใดอย่างต่อๆ ไปไม่มี ถ้ามันไม่มีขึ้นมาแล้ว ถ้าจะทำอย่างไรในเมื่อเป็นกาในฝูงหงส์ไง

ธรรมะซื้อไม่ได้นะ เขาจะซื้อเอาไง เขาจะซื้อเอาด้วยอำนาจการบังคับกดขี่ เขาจะซื้อเอาด้วยมวลชน เขาจะซื้อเอาด้วยอย่างไรก็แล้วแต่ เขาซื้อเอาเพราะอะไร เขาซื้อเอาเพราะว่าเขาต้องการให้คนเชื่อถือศรัทธาเขา ถ้าเชื่อถือศรัทธาเขามันเป็นความจริงหรือไม่ 

ถ้ามันเป็นความจริงอยู่แล้ว ดูสิ สัจธรรม สัจธรรมมันอยู่ไหนมันก็เป็นธรรม ศีล สมาธิ ปัญญามันอยู่ที่ไหน มันก็เป็นศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าใจของคนที่มีคุณธรรม สมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ สมณะที่ ๔ มันเป็นสมณะ มันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริงในใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้นเป็นสมณะที่ ๑ เขาก็มีคุณธรรมของเขาในสถานะของสมณะที่ ๑ มันไปซื้อขายมาจากไหน มันไม่ได้มีการซื้อการขายมา มันมีการประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงขึ้นมา 

ถ้ามีตามความเป็นจริงประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ทุคตะเข็ญใจลูกศิษย์ของพระสารีบุตร ดูสิ เขาเป็นคนทุกข์คนยาก เขาเป็นคนที่ไปบวชกับใคร ใครไม่รับบวชทั้งนั้น เพราะเขาไม่มีลาภสักการะมอบให้ใคร แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประชุมสงฆ์ “ทุคตะเข็ญใจนี้เคยมีบุญคุณกับใคร” พระสารีบุตรยกมือพั้บ! “เคยมีบุญคุณอะไรกับเธอ” “เคยตักบาตรข้าวข้าพเจ้า ๑ ทัพพีครับ

นี่ข้าว ๑ ทัพพีนั้น ทุคตะเข็ญใจสิ่งนั้นเขาหามาก็สุดยอดของเขา น้ำใจของเขา จิตใจที่เป็นธรรมของเขา เขาอ่อนน้อมถ่อมตนของเขา เขาฟังธรรมๆ เขาประพฤติปฏิบัติตามความเป็นธรรมของเขา แล้วเขาทำความเป็นจริงของเขาขึ้นมา เพราะมีครูบาอาจารย์คอยชี้คอยนำ พระสารีบุตรเป็นอาจารย์ของเขา เขาควบคุมดูแล

เรามีครูบาอาจารย์ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านประพฤติปฏิบัติลูกศิษย์ของท่านนะ ควาญประจำช้าง ควาญประจำช้าง ถ้าช้าง เห็นไหม ดูสิ เวลามันตกมัน เวลามันเหนื่อย มันกระหายของมัน มันหิวกระหาย อย่าเข้าไปใกล้มันนะ ตัวมันใหญ่ มันไม่พอใจ มันเอางวงตบเบาๆ เราก็กระเด็นแล้ว กิเลสในหัวใจ กิเลสในใจของคน เวลามันปฏิบัติไปมันกระฟัดกระเฟียด มันเบียดมันเบียน มันทำลายใจของสัตว์โลก มันทำลายทั้งนั้น

กิเลสนะ ถ้าเราไม่ได้ควบคุมดูแลมัน เราอยู่กับโลก เห็นไหม ดูคนทางโลกเขาสิ คนที่มีศาสนาก็คิดว่าเขามีศาสนาประจำชีวิตของเขา แต่คนที่ไม่มีศาสนาเลย เขาไม่เชื่อสิ่งใดเลย เขาทำของเขาไปตามความพอใจของเขา เขาทำได้เต็มที่เลย 

เวลากิเลสมันทำร้ายๆ ในปัจจุบันนี้ในพระพุทธศาสนาของเรา ในการปิตุฆาต มาตุฆาตเป็นบาปหนัก หนักหนาเลย ดูสังคมโลกเดี๋ยวนี้สิ เวลาเขาเสพยาเสพติด เวลาเขาขาดสติฆ่าพ่อฆ่าแม่ เขาทำของเขาได้ เวลากิเลสมันกระฟัดกระเฟียด เวลากิเลสมันเบียดเบียนในหัวใจ แล้วนักบวชนึกว่าไม่มีใช่ไหม เวลานักบวช เห็นไหม กิเลสเราไม่ได้ควบคุมดูแลมันนะ มันก็อยู่สุขสบาย ยิ่งคนบอก “ฉันเป็นคนดี ทำไมฉันต้องไปวัด ฉันเป็นคนดี” นั่นน่ะ กิเลสมันครอบงำไว้ กิเลสมันกลัวอำนาจวาสนา กลัวบารมีของคน 

คนที่มีบารมี ดูสิ พระสารีบุตร เห็นไหม เห็นพระอัสสชิเดินไปบิณฑบาต กิเลสมันกลัวอย่างนั้น กลัวปัญญาของคน กลัวสติปัญญาของคนที่มันจะใฝ่ดี กลัวปัญญาของคนที่พยายามจะหาช่องทางในการประพฤติปฏิบัติที่เอาตัวรอดไป กิเลสมันต้องปิดหูปิดตาไว้ กิเลสมันต้องชักนำให้อยู่ในอำนาจของมัน แล้วถ้ายังไม่ได้ประพฤติปฏิบัติมันก็ไม่ต้องให้เราตื่นตัว มันก็นอนอยู่กับจิตนั้น 

แต่เวลาเรามีความสนใจ เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาคนปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วไม่ได้ผล ปฏิบัติแล้วไม่ได้เรื่อง ปฏิบัติแล้วร้อยแปดเลย พวกนี้พวกแมงเม่า พวกแมงเม่าเวลามันไปเจอไฟที่ไหน แมงเม่ามันจะบินเข้ากองไฟเลย นี่ก็เหมือนกัน พวกทุศีล เวลาเขาทุศีลขึ้นมา เขาโกหกมดเท็จ สิ่งใดที่มันปฏิบัติง่ายรู้ง่าย ไอ้พวกแมงเม่ามันจะบินเข้าไปเลย พวกแมงเม่าไง 

เพราะมันไม่มีสติ ไม่มีปัญญา สิ่งใดมันก็ทำตามเขาไป แล้วแมงเม่าเพราะมันตายเกลื่อนไปหมดเลย ดูสิ เขาล่อแมงเขาจุดไฟไว้มันเข้าไปทำความรำคาญบ้านเขา เขาก็เอาอ่างน้ำ อ่างน้ำมารองไว้ไง มันไปนอนอยู่ในน้ำเต็มไปหมดเลย นี่ก็เหมือนกัน กระแสสังคมในการประพฤติปฏิบัติ ถ้าผู้ทุศีลมันโกหกมดเท็จ ไอ้พวกแมงเม่ามันก็บินเข้าไป พอบินเข้าไปแล้วในชุมชนไง กระแสสังคมไง อุปาทานหมู่ไง มันก็โอ้โฮมีความสุขๆ 

แต่แต่มีคนที่มีสติปัญญานะ คนที่มีสติปัญญาเขาไม่ใช่แมงเม่า เขารู้ว่าสิ่งนั้นมันไม่ถูกต้องดีงาม แต่ด้วยมารยาทเขาไม่กล้าพูดมา ในสังคมทุกสังคมมีคนดีและคนเลว ในการประพฤติปฏิบัติของคน อำนาจวาสนาของคน จิตของคนมันก็มีของคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ไม่มีใครจะเห็นด้วยไปหมดหรอก มันไม่มี แต่สิ่งที่เขาไม่เห็นด้วย แต่เขาไม่เห็นด้วย เขาก็ไม่มีสติปัญญาสามารถจะชี้ถูกชี้ผิดว่าไม่เห็นด้วยอย่างไร แต่มันไม่เห็นด้วยอยู่แล้วเพราะมันไม่ใช่ มันไม่ใช่คือมันไม่ใช่แนวทาง 

ถ้ามันเป็นแนวทาง เห็นไหม เป็นแนวทางขึ้นมา ครูบาอาจารย์ของเรา เวลาประพฤติปฏิบัติจริงๆ ขึ้นมานี่ มันต้องหาอยู่ในที่สงบสงัดไง

นี่ระดับของทาน เวลาเราไปวัดไปวา วัดไหนที่มันเจริญรุ่งเรือง มันมีศาสนวัตถุ ศาสนพิธี มันมีศาสนบุคคล มันเป็นที่ให้น่าชื่นชม ให้น่ารื่นเริง เราก็อยากทำบุญกุศล เราก็อยากทำบุญของเรา เวลาทำบุญของเราก็ทำเพื่อสังคมไง เพื่อสังคมร่มเย็นเป็นสุขใช่ไหม เราเสียสละทานของเราก็เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขในสังคม เป็นบุญกุศลของเรา เป็นความสุขของสังคม เราเสียสละเพื่อสังคม เราเสียสละเพื่อวัฒนธรรม 

แต่บุญของเราล่ะ นี่ระดับของทาน มันอยู่ระดับของทานมันก็สรวลเสเฮฮา ทำแล้วก็รื่นเริง นั่นระดับของทาน ระดับของศีล เราให้ทานแล้วจิตใจของเรามันปกติไหมจิตใจเราให้ทานแล้วมันอยากให้เขายกย่องสรรเสริญ มันอยากให้เขานับหน้าถือตาหรือไม่ เราก็ควรจะมีศีลความปกติของใจ ใจของเรานี่อย่าดิ้นรนเกินไปนัก ระดับของทานเราได้สละทานแล้วก็จบแล้ว สละทานขึ้นมาก็เป็นบุญกุศลของเรา ถ้าบุญกุศลของเรานี่ทำบุญทิ้งเหวๆ ก็ทำเพื่อหัวใจดวงนี้มันสะอาดบริสุทธิ์ บุญมันก็สมบูรณ์ของมัน นี่ระดับของศีล ระดับของศีลคือความปกติของใจ มันก็อยากอยู่สงบอยู่ระงับไง 

ถ้าทำขึ้นไประดับของสมาธิ ถ้าสมาธิแล้วทำความสงบได้หรือไม่ ถ้าความสงบเวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านที่ออกแสวงหา ออกพระธุดงค์ๆ กัน เวลาเขาไป เขาก็ไปหาที่ความสงบสงัดของเขาเพื่ออะไร เพื่อให้จิตใจมันหวาดกลัว มันตื่นตัว ไม่ให้มันเหงา มันเศร้าซึม ไม่ให้มันยอมจำนนกับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ไปอยู่ป่าอยู่เขาที่ไหนให้มันตื่นตัว ให้มันตื่นเต้นของมันเข้ามา แล้วกำหนดพุทโธๆ ให้จิตมันสงบเข้ามา ถ้าสงบเข้ามามันก็เป็นสมาธิ ถ้าเป็นสมาธิถ้ามีครูบาอาจารย์คอยชี้แนะขึ้นมา มันก็ยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนา ศีล สมาธิ ปัญญา มันก็สมบูรณ์ของมันก็เป็นมรรค ถ้าเป็นมรรคขึ้นมามันก็สมบูรณ์แบบ มันก็มีการปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ของเราสอน สอนอย่างนี้ มันไม่ใช่ระดับของทาน 

ที่เราเห็นๆ กันอยู่ระดับของทาน ไปไหนแห่กันไปเป็นแมงเม่า แมงเม่า เห็นไหม ดูสิ ทางโลกเขานะ เวลาเขาเล่นหุ้นกันนะ คนที่ฉลาดเขาจะซื้อขาย เขาต้องมีสติปัญญาของเขา เขามีปัญญาของเขา ไม่ใช่แห่ตามกันไปอย่างนั้น แล้วถ้าเขาซื้อขายของเขา เราจะได้ผลประโยชน์มันก็ต้องมีผลกำไร มีผลกำไรผลขาดทุนชัดเจนของเรา เพราะเราทำเรารู้ เวลาขาดทุนๆ เป็นหนี้เป็นสินขึ้นมาล้นพ้นตัว เวลากำไรขึ้นมามันก็มีเงินมีทองขึ้นมาจับจ่ายใช้สอยมาชำระหนี้ ยังมีเงินทองต่อไป มันต้องมีของมันอย่างนั้น มันถึงจะไม่ใช่แมงเม่าไปตามกระแสเขา ถ้าแมงเม่าผู้ที่ปั่นกระแสเขาก็ได้ผลประโยชน์อันนั้นไป พอถึงที่สุดแล้ว เขาก็ปล่อยให้แมงเม่าไปติดบนดอย ก็ไปคาอยู่บนนั้น 

นี่ก็เหมือนกัน ไอ้พวกปฏิบัติแมงเม่า มันมีสิ่งใดเป็นมรรคเป็นผล มันมีสิ่งใดเป็นความจริง มันก็ลอยเป็นแพอยู่บนแม่น้ำนั้น บนอ่างน้ำนั้นที่เขารองไว้ ไอ้พวกแมงเม่า 

แต่ถ้าจะเอาจริงนะ นี่ไงธรรมะซื้อไม่ได้ เขาบอกว่าเขามีเงินเขาซื้ออะไรก็ได้ ก็ซื้อได้ก็ซื้อคนแบบนั้น แม้แต่คนก็ซื้อได้ไม่ได้ทุกคน จะซื้อคนทุกคนไม่ได้ แต่เขาเอาอำนาจ เอาเงิน เอาชื่อเสียง เอาลาภต่างๆ ซื้อซื้อธรรมะไง จะซื้อให้เชื่อถือศรัทธาเขา ซื้อเพื่อยกย่องสรรเสริญเขา มันเป็นอย่างนั้นหรือ สัจจะความจริงเป็นอย่างนั้นหรือ สัจจะความจริงซื้อไม่ได้ ซื้อไม่ได้ไม่มีให้ซื้อด้วย ถ้าซื้อคนซื้อนั้นโง่ เพราะเสียเงินแล้วไม่ได้ธรรมจริง 

แต่แต่ทางโลกถ้าเสียสละมาก ทำมาก อ้างชื่อเสียงครูบาอาจารย์ไปมาก มันก็น่าเชื่อถือศรัทธา เอ้อมันก็ดูน่าเชื่อถือนะ โอ้โฮคนเยอะมาก โอ้ยคนปฏิบัติตามมาก ใครๆ ก็นบนอบ มันยอมจำนนกับการซื้ออันนั้น ซื้อด้วยอะไรล่ะ ซื้อด้วยทุกๆ วิธีการ เพราะชีวิตของเขาก็ต้องการชื่อเสียงกิตติศัพท์ กิตติคุณเท่านั้น แล้วชื่อเสียงโดยความเป็นจริงมันก็ต้องเป็นชื่อเสียงของตนขึ้นมา นี่ชื่อเสียงของตนก็ไปแอบอ้างครูบาอาจารย์ทั้งนั้น แอบอิงเป็นกาในฝูงหงส์ 

ถ้าเป็นหงส์นะ ดูสิ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มัน หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ขาว ถ้าเป็นหงส์มันก็อยู่เป็นแบบหงส์ อยู่เป็นหงส์นี่มันอหังการ ต่างคนต่างอยู่ด้วยความสงบระงับ ต่างคนต่างอยู่ด้วยคุณธรรม หลวงปู่ขาวท่านบอกว่า “เวลาจิตท่านสงบ หลวงปู่มั่นจะมาคอยเตือนท่านในจิตตลอด ควรทำอย่างใด ควรทำอย่างใด” เพราะ เพราะท่านจะเป็นตัวอย่าง ท่านจะเป็นแบบอย่าง เป็นแบบอย่างให้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ หงส์หงส์อยู่แบบหงส์เพราะมีคุณธรรมในใจ การมีคุณธรรมในใจ คุณธรรมในใจมันมาจากไหน

คุณธรรมมาในใจ ดูสิ ดูหลวงปู่ขาวจิตใจที่เป็นดั่งเพชร เวลาจะออกปฏิบัติขึ้นมา ญาติพี่น้องบอก “ไปทำไม อยู่ที่วัดก็ดูแลอุปัฏฐากอุปถัมภ์ดีอยู่แล้ว ไปทุกข์ไปยากทำไม” ท่านบอกเลย ถ้าก้าวออกจากวัดนี้ไป ไม่สิ้นกิเลสจะไม่ย้อนกลับมา ท่านไปทุกข์ไปยาก ท่านไปแสวงหาขึ้นไป ไปหาหลวงปู่มั่น ท่านทำของท่าน ท่านประพฤติปฏิบัติของท่านตามความเป็นจริงของท่าน เห็นไหม ถ้ามีครูบาอาจารย์ ควาญประจำช้าง 

จิตใจที่มีอำนาจวาสนาที่เวลาจะประพฤติปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งญาณนะ เล็งญาณเลยว่าจะเอาใครก่อน นี่ที่เขามีวาสนาและอายุขัยเขาจะสั้น เขาจะเสียไปก่อน ดูสิ เวลาไปเอาองคุลิมาล ท่านเล็งญาณนะ ต้องรีบไป ถ้าไม่ไปจะไม่ได้องคุลิมาล เพราะถ้าช้าอีกวันเดียวองคุลิมาลจะทำมาตุฆาต เพราะกษัตริย์เขาจะยกกองทัพไปปราบ แล้วมันร่ำลือกันไปใช่ไหม แม่ก็รู้ก่อน แม่ก็จะไปช่วยลูกนะ จะไปบอกลูก แล้วเวลาคนที่ฆ่าคนมา ๙๙๙ ศพแล้วอีกนิ้วเดียวๆ มันรอจริงๆ นะ องคุลิมาลก็ศึกษามามาก เขามีวิชาที่วิ่งเร็วกว่าม้า เขาเป็นนักรบ ศึกษาวิชาการรบมา ใครจะหนีไม่ได้ ลองได้เห็นคน ทุกคนหมดสิทธิ์หนี เรียบร้อย

ด้วยอำนาจวาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งญาณ ถ้าไปช้ากว่านี้เขาจะทำมาตุฆาต ถ้าทำมาตุฆาตนี่กรรมหนัก จะไม่มีโอกาสได้เป็นพระอรหันต์ นี่ไปเลย เวลาไปแล้ว เห็นไหม องคุลิมาลเห็น “นิ้วสุดท้ายๆ” แต่ด้วยคุณธรรมของท่าน ท่านก็ไปด้วยศาสดา องคุลิมาลวิ่งแล้ววิ่งอีก วิ่งเร็วกว่าม้า วิ่งเร็วนะ มันมีวิชาที่เขาศึกษาของเขา ใครๆ ก็พ้นจากอำนาจองคุลิมาลไม่ได้ ถ้าเขาได้เห็น ถ้าเขาจะฆ่า แต่นี่วิ่งเท่าไรก็ไม่ทัน ก็สงสัยในตัวของตนนะ ก็สงสัยว่า “เอ๊ะเราก็วิ่งมาตลอด ทุกคนไม่พ้นจากอำนาจของเรา แต่สมณะนี้วิ่งเท่าไรก็ไม่ทัน” จนต้องออกปาก ออกปากนี่นะ มันจะเปิดใจแล้ว “สมณะหยุดก่อนสมณะหยุดก่อน!” 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดานะ เล็งญาณแล้วว่าเขามีวาสนาเราหยุดแล้ว แต่เธอต่างหากไม่หยุด” องคุลิมาลนี้งงเลย ก็วิ่งไม่ทัน ตามไม่ทันอยู่ ว่าหยุดแล้ว โอ้สมณะปดได้อย่างไร คนโกหกทำความชั่วอย่างอื่นไม่มี นี่ศาสดาแท้ๆ เลย นักบวชด้วย ก็วิ่งอยู่นี่ บอกว่า หยุดนี่ เราหยุดอยู่ เธอต่างหากไม่หยุด

เวลาย้อนกลับมา เราหยุดละทำความชั่ว ความชั่วทั้งหลายเราไม่ทำ เราหยุดละทำความชั่ว วิ่งๆ อยู่นี่ แต่เราหยุดละทำความชั่วเพราะจิตใจนี่เป็นศาสดา เป็นพระอรหันต์ จะทำความชั่วช้าได้อย่างไร จะฆ่าคนได้อย่างไร มันสะเทือนใจมากนะ ก็วิ่งๆ อยู่ บอกหยุดแล้วๆ หยุดอะไร หยุดทำความชั่ว แล้วเราล่ะ กำดาบอยู่นี่ กำลังจะฆ่าเขาอยู่นี่ นี่มันความชั่ว รู้ไหมนี่ความชั่ว สิ่งที่อาจารย์หลอกมาว่าจะเอานิ้วพันนิ้วไปแลกกับวิชาเลอเลิศนั่น อันนั้นเป็นอุบาย อุบายของเขา ซื่อ ซื่อจนเซ่อ ซื่อจนเชื่อเขา กำลังจะฆ่าคน คนที่ ๑,๐๐๐ นี่

เราหยุดทำความชั่วแล้ว เธอต่างหาก” 

โอ้องคุลิมาลได้คิดนะ วางดาบลง กราบเลยนะ มันเป็นความชั่วจริงๆ สิ่งที่เราทำอยู่นี่มันเป็นความชั่วจริงๆ สุดท้ายแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบวชให้นะ เอามาประพฤติปฏิบัติเป็นพระอรหันต์ได้ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งญาณ เล็งญาณเขามีวาสนา แต่เขาไปเจออาจารย์ที่ไม่ดี ไปเจอหมู่คณะที่ไม่ดี ไปเจอคนที่พยายามชักนำออกไปทางอื่น ชักนำ ชักนำออกไป ทำขึ้นมา วางอุบายว่าถ้าฆ่าคนไปแล้วรับประกันได้ว่ากษัตริย์ต้องยกกองทัพมาปราบแน่นอน คือเขาต้องตาย ฆ่าเขาด้วยอุบาย อาจารย์เขาฆ่าเขาด้วยอุบาย เห็นไหม

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นถึงอำนาจวาสนาของเขา เวลาไปแล้วคนที่มีวาสนามันเป็นอย่างนั้น เวลาเขาตื่นตัวขึ้นมา สิ่งที่เป็นจริงๆ เวลาอุบายขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อจะเปิดหูเปิดตาของสัตว์โลก เวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงมันต้องเป็นอย่างนี้ เวลาปฏิบัติขึ้นไปเป็นความจริงมันสลด สลดหดหู่ในใจ ถ้าสลดหดหู่ในใจ สลดหดหู่เป็นสมาธิไหม สลดหดหู่ไม่เป็นสมาธิหรอก แต่สลดหดหู่ขึ้นมาจิตมันไม่ส่งออก จิตมันไม่พุ่งออกไปข้างนอกทั้งหมด 

แล้วท่านก็สอนของท่าน สอนของท่านให้จิตมันมั่นคงขึ้นมา พอมั่นคงขึ้นมาแล้วออกฝึกหัดใช้ปัญญา มันต้องเป็นศีล สมาธิ ปัญญา มันต้องเป็นมรรคเท่านั้น อย่างอื่นจะเป็นจะบรรลุธรรมไม่มี สิ่งที่จะเป็นบรรลุธรรมมันต้องศีล สมาธิ ปัญญาเท่านั้น มันจะเป็นการประพฤติปฏิบัติเท่านั้น ธรรมจะเกิดขึ้นจากศีล สมาธิ ปัญญา ธรรมจะเกิดขึ้นจากการกระทำ ธรรมไม่เกิดขึ้นจากการซื้อ ธรรมไม่เกิดขึ้นจากการอ้อนวอน ธรรมไม่เกิดขึ้นจากการรับรอง ธรรมไม่เกิดขึ้นจากอยู่กับครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ธรรมไม่เกิดขึ้นกับอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาท่านพักอยู่ที่ที่หนึ่ง แล้วลูกศิษย์ของพระสารีบุตร ท่านจะมาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาพระเราบวชแล้วนี่ก็อยากจะหาครูบาอาจารย์ จะหาช้างควบคุมไม่ให้กิเลสในหัวใจมันดิ้นรน จะต้องการให้มันไปในแนวทางที่ดีงาม เวลาคนบวชใหม่ๆ เป็นอย่างนั้นทั้งนั้น นี่ก็เหมือนกัน บวชแล้วก็มาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาจัดที่พักเสียงดังขึ้นมา องค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะสมัยนั้นเป็นการอุปัฏฐากของพระนาคิตะบอกว่า “นาคิตะเธอไปบอกเขา ถามเขานี่มันพวกใคร” 

เขาบอกว่านี่ลูกศิษย์พระสารีบุตร จะมาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” 

มันเหมือนชาวประมงเขาหาปลากันนะ มันเสียงอึกทึกครึกโครมนะ ไล่มันไป!”

นี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนสั่งเองนะ ถ้ามาอึกทึกครึกโครม มาทำเสียง เสียงดัง มันเป็นการประพฤติปฏิบัติหรือไม่ คนที่จะประพฤติปฏิบัติมันต้องสำรวมระวัง คนที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันต้องสงบเสงี่ยมเข้ามาตั้งแต่จากภายนอก นี่กายสงบ กายวิเวก จิตวิเวก ถ้ากายไม่วิเวก กายมันเคลื่อนไหวอยู่ กายมันพลุกพล่านอยู่ มันจะเอาอะไรมาวิเวก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไล่ออกไป พระเวรก็ไปไล่ออก พอไล่ออก เทวดามาในเวลาท่านพุทธกิจ ๕ ว่า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไล่เขาไป เขาเป็นพระบวชใหม่นะ พระเพิ่งบวช เขาก็แสวงหาคุณงามความดีทั้งนั้น องค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าจะลงโทษ มันก็ต้องลงโทษด้วยความถูกต้องดีงาม” นี่เทวดาเขายังเห็นเลยล่ะ

สุดท้ายแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ไปนิมนต์กลับมา องค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ พระ ๕๐๐ เป็นพระอรหันต์หมดเลย เทศนาว่าการขึ้นมานี่มันเกิดมรรคเกิดผลในใจไง สิ่งที่มาๆ ก็มาแสวงหาสิ่งนี้แหละ แต่การแสวงหาด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เวลามาแล้วก็ทำเสียงกระทบกระเทือนกับผู้ที่ประพฤติปฏิบัติอยู่ในวัดนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พระไล่ออกเลย 

นี่พูดถึงเวลาคุณธรรม คุณธรรมเป็นแบบนี้ ถ้าการประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันต้องเป็นความจริงอย่างนี้ เห็นไหม ถ้าเป็นความจริงอย่างนี้เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นความจริงของเรา อย่า อย่าไปเข้าถึงเป็นแมงเม่าให้เป็นการซื้อเอา การอ้อนวอนเอา การแสวงหาเอา ให้คนนู้นยอมรับตำแหน่ง คนนี้ยอมรับ เวลาพูดก็พูดอยากให้คนเป็นคนดี คนเป็นคนดี ถ้าเป็นคนดีก็บอกเขาให้เป็นคนดีอยู่ที่บ้านก็ได้ อยู่บ้านอยู่เรือน ครอบครัวของตนดูแลให้ดี ให้มีศีลมีธรรม อย่าเล่นการพนัน อย่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ถ้าเป็นคนดีก็เป็นคนดีของเขา ไม่ใช่เป็นคนดีที่ต้องมาต่อแถว ไม่ใช่คนดีแบบแมงเม่าต้องแห่กันไปๆ อย่างนี้ไม่ใช่ความดี มันต้องมีผลประโยชน์ มันต้องมีสิ่งใดอยู่เบื้องหลัง

ถ้าเป็นความดีๆ ครูบาอาจารย์ ดูสิ เวลาหลวงปู่มั่นนะ ท่านธุดงค์ไป ธุดงค์ไป ท่านธุดงค์ไปเพื่ออะไร ธุดงค์ไปเพื่อหัวใจของคน ดูสิ เวลาท่านธุดงค์ไปทางภาคเหนือไปอยู่กับพวกมูเซอ เวลาไปทีแรกมูเซอบอกว่าเป็นเสือเย็น เสือเย็น กลัวว่าจะเป็นเสือเย็นให้คนมาเฝ้า ท่านก็อยู่ที่นั่นจน ๖ - ๗ เดือน จนกว่าเขาจะยอมลง พอยอมลงเสร็จแล้วท่านเทศนาว่าการ เวลาท่านจะพลัดพรากกลับมา โอ้โฮพวกมูเซอนี่เขารัก “ตุ๊จะไปไหน ที่นี่เผาศพตุ๊ได้นะ ตุ๊อย่าทิ้งไปนะ” เขาคร่ำครวญมาก

หลวงปู่มั่นบอกว่า “เราจะต้องไป ไปเพื่อหัวใจของคน สิ่งนี้เราก็มาทำให้ชาวมูเซอทั้งหมดจากถือผีให้มาเป็นชาวพุทธ ฝึกหัดให้ภาวนาจนเขาเห็นจิตของเขาผ่องใส จนจิตของเขารู้ถึงบาปบุญคุณโทษ จนจิตของเขาเคารพบูชาหลวงปู่มั่น เพราะหลวงปู่มั่นมาเปิดตาใจของเขา เขาอยู่ป่าอยู่เขาด้วยความซื่อของเขา เขาก็ถือผีถือสางของเขา โดยธรรมชาติของเขา 

หลวงปู่มั่นท่านไปโปรด เวลาไปโปรด ธุดงค์ ท่านธุดงค์ไป เห็นไหม โปรดจนเขามีดวงตาเห็นธรรม จนจิตใจเขาผ่องแผ้ว เวลาหลวงปู่มั่นจะต้องพลัดพรากจากไป “ตุ๊ อย่าทิ้งไป” เขาคร่ำครวญ เรารักพ่อ รักแม่ เรารักพ่อรักแม่ขนาดไหน ไอ้นี่เขารักครูบา-อาจารย์ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ของเขา แต่หลวงปู่มั่นท่านบอกว่าท่านต้องไป ท่านต้องไป ไปด้วยหน้าที่ของศากยบุตรพุทธชิโนรส ไปเพื่อเผยแผ่ธรรม ไปเพื่อดวงตาของสัตว์โลก ท่านไปของท่านอย่างนั้น” ท่านไม่ได้ดึงมาหาท่านสร้างวัดใหญ่โต แล้วก็ขวนขวายกันมา เหมือนมีงานมหรสพสมโภช ไม่ใช่ไม่ใช่!

วัดกรรมฐานเขาอยู่โคนไม้ เขาอยู่กันความสงบระงับ เขาอยู่กันด้วยคุณธรรมในใจ ถ้ามันมีคุณธรรมในหัวใจนะ มันยิ่งอยู่ยิ่งสงบยิ่งระงับ สัปปายะ ๔ สถานที่เป็นสัปปายะ อาหารเป็นสัปปายะ หมู่คณะเป็นสัปปายะ ครูบาอาจารย์เป็นสัปปายะ ครูบาอาจารย์เป็นสัปปายะ ครูบาอาจารย์เนี่ยควาญประจำช้าง ควาญประจำช้างอยู่นี่ ถ้าครูบาอาจารย์เป็นสัปปายะ ครูบาอาจารย์ท่านจะพยายามน้อมนำเข้ามาสู่ธรรม น้อมนำเข้ามาสู่ความประหยัดมัธยัสถ์ น้อมนำเข้ามาสู่คุณธรรม

มันจะมีอะไร ของในโลกนี้จะมีอะไร เอ็งไม่เคยเกิดหรือ จิตดวงใดบ้างที่ไม่เคยเกิด จิตดวงใดบ้างถ้าไม่ได้เกิด ไม่เคยเกิดไม่ได้มานั่งเป็นมนุษย์อยู่นี่ เพราะการที่จะมานั่งเป็นมนุษย์อยู่นี่ มันต้องมีมนุษยสมบัติ มนุษยสมบัติมันเกิดจากอะไร ศีล ๕ มันมีทาน มีศีล มีภาวนามา มันถึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมา สิ่งที่เราเกิดเป็นมนุษย์ เรามีสติมีปัญญาของเรา สิ่งที่เราเคยเกิดเคยตายมาแล้ว แล้วมันมีสิ่งใดบ้างที่มันแปลกประหลาด เราไม่เคยใช้เคยสอยอะไรมาเลยหรือ เราไม่เคยมีอำนาจวาสนามาเลยหรือ

สิ่งในโลกนี้ที่เขาใช้กันอยู่นี่เราไม่เคยใช้ใช่ไหม ถ้าเราเคยใช้อยู่แล้ว เราเคยใช้อยู่แล้วเราวางแล้วไง สิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่โลกมนุษย์เขาใช้กันอยู่ พระเรา เราบวชเป็นพระ ถ้าเราบวชเป็นพระแล้วมักน้อยสันโดษมีบริขาร ๘ เท่านั้น พระเรามีสมบัติที่เป็นบริขาร ๘ นี้เท่านั้น สิ่งนั้นเป็นสมบัติของสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นสมบัติของวัด เราก็ได้อาศัยวัดนี้อยู่ เพราะเราไม่มีบ้านเรือนใช่ไหม เราก็จะมีอารามนี้อยู่ อารามนี้อยู่เพื่ออะไรล่ะ ก็เพื่อมีศีล มีสมาธิ มีปัญญาขึ้นมาไง ถ้ามีศีล มีสมาธิ มีปัญญาขึ้นมา ศีลมันก็เป็นรั้วกั้นเข้ามาใช่ไหม เวลาเราทำความสงบของใจเราเข้ามา ถ้าใจเราสงบเข้ามานี่สัปปายะ ๔ เรามีสัปปายะ ครูบาอาจารย์นี้เป็นสัปปายะ ท่านคอยชี้นำเรามา ท่านคอยควบคุมดูแลเรามา ถ้าดูแลเรามา ครูบาอาจารย์ของเราท่านถึงเคารพเชิดชูหลวงปู่มั่น ท่านเคารพบูชามาก เคารพบูชาสรรเสริญ เคารพพ่อแม่ครูอาจารย์มาก

ไม่ใช่เอามาเป็นสินค้า ไม่ใช่เอามาเป็นแบรนด์ ไอ้นั่นมันกาในฝูงหงส์ ดึงหงส์มาเป็นเหยื่อ แต่ตัวเองมันเป็นกา กามันขี้ลักขี้ขโมย กามันเที่ยวฉกชิงวิ่งราวของคนอื่น มันไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ไอ้พวกนี้มันอยากซื้อ ซื้อธรรมะ อยากซื้อ อยากมี อยากเป็น แล้วพอมันไม่มี มันไม่มีมันก็บิดเอา บิดเอาตามความเห็นของตน บิดให้เข้ากับอารมณ์ของตัว พออารมณ์ของตัวมันบิด แล้วมันบิด คำว่า บิด” บิดมันก็ไม่ตรงธรรมไง

แต่ถ้าครูบาอาจารย์ของเรา ท่านผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม คนที่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมมันไม่ได้บิด ไม่ได้บิดไม่ได้เบือน มันเป็นสัจจะเป็นความจริง ถ้าเป็นสัจจะความจริงขึ้นมามันก็เป็นความจริงในใจดวงนั้น แต่ถ้ามันไม่มีคุณธรรมในใจ เห็นไหม ไม่เป็นสมณะ ถ้าเป็นสมณะมันจะมีความสงบระงับ แล้วถ้าเป็นสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ มันมีมรรคมีผล 

แต่ถ้าไม่เป็นสมณะ เห็นไหม เพราะมันไม่เข้าใจ เพราะความไม่เข้าใจนั้นถึงได้บิด บิดตามความเข้าใจของตน ความเข้าใจของตนคืออวิชชา ทรงจำธรรมวินัยขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรียนภาคปริยัติ ภาคปริยัติคือการทรงจำธรรมวินัยขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า การทรงจำธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นคือการทรงจำมา แต่มันไม่เคยทำได้สัจจะความจริง ถ้ามันไม่เคยสัจจะความจริงขึ้นมาได้ มันจะไม่รู้วิธีการกระทำ แล้วไม่รู้ด้วยผลของการกระทำ ทำจบแล้วได้อะไร 

ถ้าผลของการกระทำ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ สมาธิมันต้องเป็นสมาธิ สมาธิคือจิตตั้งมั่น จิตที่เป็นหนึ่งไม่พาดพิงอารมณ์ใดทั้งสิ้น แต่ถ้ามันมีอารมณ์อยู่ สมาธิมันยังเริ่มต้นที่จะเป็นความสงบแต่ยังไม่เป็นสมาธิ มันเป็นความสงบๆ เข้ามา ถ้าความสงบเข้ามามันยังมีความรู้สึกนึกคิด มันยังมีอารมณ์ของมันอยู่ ถ้ามีอารมณ์ของมันอยู่ ถ้ามันยังรู้เห็นต่างๆ ขึ้นไป มันก็ยังเป็นนิมิต สิ่งที่เป็นนิมิตขึ้นมา ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ของเราท่านเป็นของท่าน ท่านจะรู้ของท่าน 

ฉะนั้น สิ่งที่ทำ เพราะมันการทรงจำมากับการปฏิบัติมันไม่เหมือนกัน การทรงจำมา ทรงจำธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่แหละธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอก “ธรรมะเป็นธรรมชาติ” เป็นธรรมชาติเพราะจิตใจของท่านเป็นธรรม จิตใจท่านเป็นธรรม ท่านเป็นธรรมแล้วมันเห็นสัจธรรม มันเป็นของปกติของธรรมดา

สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับเป็นธรรมดา สรรพสิ่งต้องแปรปรวนไปตามธรรมชาติของมัน สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง พุทธศาสนาสอนว่า สิ่งความมั่นคงคือความไม่มั่นคงไง ความมั่นคงคือความจริง ความจริงของมัน มันต้องแปรสภาพของมันไปตลอดเวลา ฉะนั้น สิ่งที่มันแปรสภาพของมันโดยสัจจะความจริงนั้น เพราะใจของท่านเป็นธรรมๆ ท่านถึงบอกว่ามีเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา

แล้วเราก็ไปศึกษา ทรงจำๆ มาก็บอกว่า “ธรรมดา ธรรมชาติก็ธรรมดา” ธรรมดาก็จะซื้อมันน่ะ เพราะธรรมดาเราไม่มีไง ธรรมดาเราก็มีค่าเท่ากันไง บวชเป็นพระ พระมีศีล ๒๒๗ เสมอกัน ถ้าธรรมดามันก็มีค่าเหมือนกันไง แล้วธรรมดามันก็ต้องรู้เท่าทันความจริงในใจของตน ถ้ามันเป็นสมณะมันก็สงบระงับ มันก็รู้เท่าทันของมัน ถ้ามันไม่เป็นสมณะ มันอยากมี ไม่เป็นสมณะอยากมีก็ซื้อเหอะ ซื้อด้วยอะไรล่ะ ซื้อด้วยวิธีการอะไรก็แล้วแต่ ซื้อ จะซื้อให้เป็น ซื้อได้แต่คน ซื้อได้แต่คนที่เขาเห็นผลประโยชน์ แต่ซื้อธรรมะไม่ได้ ธรรมะไม่มีชีวิต ธรรมะเป็นสัจจะเป็นความจริง

สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม” คนที่มีอำนาจวาสนา เป็นพระโพธิสัตว์ปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้า ถึงได้มารื้อมาค้นขึ้นมาเป็นสัจจะในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีความจริงแล้วถึงได้เผยแผ่ ได้เผยแผ่ เผื่อแผ่ เผื่อแผ่มาถึงปัญจวัคคีย์ เผื่อแผ่มาถึงชฎิล ๓ พี่น้อง นี่เผื่อแผ่

เวลาท่านเผื่อแผ่ เห็นไหม เวลาเผื่อแผ่ปัญจวัคคีย์ เผื่อแผ่พระยสะ เวลาสงฆ์รุ่นแรก ๖๑ องค์ ทั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประชุมสงฆ์ “ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหมดและองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย ๖๑ องค์พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์” บ่วงที่เป็นโลก โลกธรรม ๘ ไอ้อยากซื้ออยากขายกันนี่ ไอ้อยากตำแหน่งแห่งหน ไอ้ซื้อได้มันซื้อได้ตำแหน่ง มันซื้อธรรมะไม่ได้หรอก ไอ้อย่างนี้อยากได้ๆ อยากได้ตำแหน่ง แต่ไม่ได้ธรรมหรอก

นี่ไง “เธอพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเธอพ้นจากบ่วงที่เป็นทิพย์ เธอจงไปอย่าซ้อนทางกัน” ๖๐ องค์ออกไป ๖๐ ทาง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไปเอาชฎิล ๓ พี่น้อง ก็ไปทางหนึ่ง แต่ ๖๐ องค์ก็ไป นี่ไง ถ้าเป็นความจริงๆ มันเป็นอย่างนี้ ความจริงมันเรียบง่าย พระอัสสชิก็ไปได้พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ๖๑ องค์พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ เธอจงไปอย่าซ้อนทางกัน โลกนี้เร่าร้อนนัก 

ถ้าเป็นธรรมๆ เขาไม่เป็นขบวนการ โอ้โฮยตลาด ธรรมะการตลาด มันเป็นเรื่องตลาดทั้งนั้น จะซื้อจะขายเอา มันไม่มีอยู่จริง 

ถ้ามันมีอยู่จริง เห็นไหม เราทำของเรา เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธ-ศาสนา พุทธศาสนาสอน สอนถึงการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย องค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าก็เพราะเหตุนี้แหละ เพราะเหตุที่ว่า ถ้าเราต้องเป็นอย่างนี้ใช่ไหม เราต้องเกิดต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย อย่างนี้ด้วยหรือ เราเห็นสมณะ โอ้นั่นคือทางออก ท่านถึงค้นคว้าของท่านออกมาได้ 

สมณะ สมณะคือความสงบระงับ สมณะ สมณะคือมีคุณธรรมในใจของเรา เราต้องมีสติมีปัญญาในใจของเรานะ ถ้าเรามีสติมีปัญญาในใจของเรา เราจะเอาตัวของเรา เราจะเอาความจริง เราไม่เอาทางโลก เราไม่เอาการตลาด เราไม่ต้องคนพลุกพล่าน ไอ้คนพลุกพล่าน สาธุถ้าเขาทำไอ้นั่นมันระดับของทานนะ มันเป็นการแตกตื่น เป็นกระแส มันแตกตื่น แตกตื่นจากการปลุกกระแส ปลุกกระแสขึ้นมาแล้วมันทำลายโอกาสของคน โอกาสของคนที่จะเข้าสู่สัจธรรมเข้าสู่สัจจะความจริงได้บ้าง ไปตื่นกระแสหมดเลย ตื่นกระแสเพราะอะไร เพราะมันเข้ากับกิเลสไง เพราะแมงเม่ามันชอบ มันสู่ใจแมงเม่า แมงเม่าก็บินกันเป็นฝูงๆ เลย บินกันไปเข้าสู่กองไฟ 

ไอ้ของเรามันอยู่ป่าเขา มันเห็นเดือนเห็นดาวเห็นตะวัน มันไม่เป็นโทษกับใคร มันจะบินขึ้นไปบนเดือนมันบินไปไม่ไหวหรอก มันก็บินอยู่ในป่านั่นน่ะ บินอยู่ในป่าแสวงหาตน แสวงหาสัจจะหาความจริงในใจของตน ถ้าแสวงหาความจริงในใจของตนนะ เวลาทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าจิตมันสงบนะมันจะมีความสุข จิตเป็นสมาธิ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี มันไม่ตื่นกระแสหรอก ตื่นกระแสไปมันทำให้จิตเสื่อม จิตของคนมันต้องมีสติปัญญารักษา การรักษาจิตของเราให้สงบระงับ 

จิตของเราแท้ๆ แล้วมีสิ่งใดกระทบในอายตนะตาหูจมูกลิ้นกายใจ เวลามันกระทบนะ ถ้าเรารักษาดีมันจะกระทบสิ่งใด เราก็มีสติปัญญาเท่าทันกับความรู้สึกของเรา แต่ถ้าเราเผลอ ถ้ากิเลสมันรุนแรง มันกระทบแล้วมันพุ่งออกเลย เวลามันโกรธมันโกรธสุดๆ เวลามันหลงมันหลงใหลได้ปลื้มไปกับเขา เวลามันโลภมันอยากได้แต่สิ่งที่ไม่มีไม่เป็นจริง

สิ่งที่เป็นจริงๆ โลภอะไร โลภอยากได้อะไร ถ้าโลภก็เดินจงกรมให้มากๆ สิ โลภก็นั่งสมาธินานๆ สิ เราเร่งความเพียรของเรา สัตว์โลกจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ ถ้าโลภก็โลภขยันหมั่นเพียรสิ โลภประหยัดมัธยัสถ์สิ โลภในการเสียสละสิ ถ้ามันโลภอย่างนี้ถ้ามันเข้าไปแล้วมันต่อสู้กับกิเลสไง มันขัดแย้งกับกิเลสของเรา 

กิเลสของเรามันอยากได้ อยากดี อยากเด่นทั้งนั้น การอยากได้ อยากดี อยากเด่น พระเรา พระกรรมฐานถึงถือธุดงควัตร ธุดงควัตรเป็นข้อขัดเกลากิเลสนะ เป็นการขัดเกลา ขัดเกลาเพราะอะไร มันบังคับไว้แล้วผ้า ๓ ผืน ไม่มีมากไปกว่าบริขาร ๘ นอกนั้นเป็นของของสงฆ์หมด เป็นบริขารโจล โจล โจลคือโจล โจลมันใช้เกิน เกินบริขาร ๘ ไง แต่ในเมื่อมันมีความจำเป็น ผ้าองผ้าอาบ มุ้งน่ะ นี่บริขารโจลทั้งนั้น แต่ถ้าเรามีสมบัติ เราก็มีสมบัติของเรากับบริขาร ๘ แล้วเราก็รักษาใจของเรา

นี่การดูแลรักษา ถ้าครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นธรรม ท่านจะดูแลรักษา เห็นไหม ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบเข้ามามันจะมีคุณธรรมในใจนี้ ถ้ามีคุณธรรมในใจนี้ เห็นไหม เวลาปฏิบัติขึ้นมาแล้วจิตมันสงบ จิตสงบแล้วมันมีความสุข จิตสงบ โอ้โฮมันละทิ้งบ้านเรือนหมดนะ

ทำไมเรามาทุกข์มายากกันอยู่อย่างนี้ ทำไมของที่เราแบกหามอยู่อย่างนี้” 

สิ่งที่เป็นวัดเป็นวา เป็นวัดเป็นวาเป็นเพราะครูบาอาจารย์ท่านมันมีวินัยบังคับไว้ไง ว่าสิ่งนี้มันเป็นสมบัติของสงฆ์ ผู้ที่ดูแลรักษาถ้าไม่ดูแลรักษาเป็นอาบัตินะ สิ่งที่จะแจกได้มันเป็นครุภัณฑ์ ของที่แจกได้ ของที่แจกไม่ได้ ของที่แจกได้อย่างพวกอาหาร พวกการกินแจกได้ ของของสงฆ์ สงฆ์ก็มีสิทธิแจก แต่สิ่งที่แจกไม่ได้เลยคือเครื่องมือการซ่อมบำรุงรักษา แล้วก็เตียงตั่ง สิ่งที่เป็นสมบัติของสงฆ์นี่แจกไม่ได้ สิ่งที่แจกได้ แจกได้น่ะ ปัจจัย ๔ เครื่องดำรงชีวิตแจกได้ สิ่งที่แจกไม่ได้คือแจกไม่ได้ นี่คือของของสงฆ์ไง 

ฉะนั้น สิ่งที่ของของสงฆ์ เห็นไหม มันมีวินัยบังคับไว้ให้ดูแลรักษาไม่ใช่ติดมัน ไม่ใช่ติดมัน แต่ดูแลรักษาไว้ให้เป็นของสงฆ์ ดูแลรักษาไว้ให้การดำรงชีวิตของพระ พระที่ประพฤติปฏิบัติเขายังต้องสิ่งปัจจัยเครื่องอาศัยเพื่อดำรงชีพเพื่อการแสวงหา คนที่ยังไม่เป็นสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ มันต้องแสวงหา ถ้าได้สมณะที่ ๑ แล้วมันก็ต้องแสวงหาความเป็นสมณะที่ ๒ ถ้าสมณะที่ ๒ แล้วมันก็ต้องแสวงหาความเป็นสมณะที่ ๓ ถ้าสมณะที่ ๓ แสวงหาแล้วมันจะเป็นสมณะที่ ๔ การแสวงหา การแสวงหามันก็ต้องอาศัยปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัยเครื่องอาศัยจากภายนอก นี่เป็นสิ่งที่ปัจจัยเครื่องอาศัยภายนอกคือสัปปายะ ๔ 

แต่ถ้าปัจจัยเครื่องอาศัยภายใน เห็นไหม ครูบาอาจารย์ที่เป็นสัปปายะ ครูบา-อาจารย์ที่เป็นสัปปายะ ท่านจะชี้นำ ท่านพยายามจะทำเป็นแบบอย่าง ท่านจะทำเข้ามา เข้ามาเพราะอะไร สิ่งที่เป็นธรรมๆ มันมีคุณค่า หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าในเขาเพราะอะไร ท่านอยู่ในป่าในเขาเพราะพิสูจน์แล้วมันทำมีความสุขจริงไง เพราะท่านมีคุณธรรมในใจของท่าน ท่านมีความสุขจริงในใจของท่าน ความสุขอันนี้ความสุขเหนือโลก

โลกสงสารน่ะเขามีเครื่องบริการ เครื่องยนต์กลไกบริการทั้งนั้น มันจะซื้อเอา มันซื้อเอาด้วยเครื่องบริการ เอาเครื่องบริการไปกำนัลคนนั้น ไปกำนัลคนนี้ มันก็ได้การยอมรับไง มันจะซื้อธรรม ซื้อธรรม 

ธรรมซื้อไม่ได้ ธรรมไม่มีขาย ธรรมจะได้ต้องปฏิบัติเอา

นี่ไง ครูบาอาจารย์ท่านอยู่ป่าอยู่เขาของท่าน ท่านจะให้เห็นถึงว่าหัวใจที่มันมีความสุข วิมุตติสุขๆ มันสุขจริงอย่างไร วิมุตติสุขความสุขที่ไม่เจือปนสิ่งใดเลย ความสุขที่ไม่ต้องมีสิ่งใดมาเกื้อหนุนเลย สุขในตัวมันเอง สุขโดยธรรม ไม่มีการซื้อ ไม่มีการขาย มีแต่การเคารพบูชา คนที่เขามีคุณธรรม ดูสิ ครูบาอาจารย์ของเราที่มีคุณธรรม เขาจะแสวงบุญกุศล คนที่เขาหูตาสว่างเขาต้องซื้อทางเข้าไปสมัยหลวงปู่มั่น 

สมัยในปัจจุบันนี้ถ้าครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นจริงนะ คนเขาก็แสวงหากันไปเพื่อบุญกุศล เพื่อเป็นขวัญใจ การเห็นสมณะเป็นบุญกุศล การเห็น การได้แสวงหา การได้เคารพนบนอบ นั่นน่ะบุญกุศลทั้งนั้น สมณะในมงคล ๓๘ ประการ การดำรงชีพ ดำรงชีพดำรงชีพอย่างนั้น นี่พูดถึงว่า ถ้าเป็นจริงๆ มันต้องเป็นการประพฤติปฏิบัติ ถ้ามันได้มรรคได้ผลขึ้นมานะ มันจะได้มรรคได้ผลขึ้นมา 

ถ้าจิตมันสงบ จิตสงบมันก็รู้อยู่แล้วว่าการคลุกคลีมันผิด จิตสงบแล้วมันไม่ใช่แมงเม่า เป็นนักลงทุนที่มีสติปัญญา เป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่แมงเม่าบินไปกับเขา ถ้าทำความสงบลงได้ เพราะจิต สมาธิมันจะยืนยันอย่างนี้ ถ้าสมาธิมันจะยืนยันเลยว่า จิตที่สงบ สงบอย่างไร แล้วถ้ามันสงบแล้วมันมีคุณสมบัติอย่างไร ถ้ามีคุณสมบัติ จิตสงบแล้ว สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี 

แล้วถ้าจิตเสื่อมล่ะ จิตเสื่อมนั่นล่ะแมงเม่า เพราะมันเสื่อม มันเข้าไปสู่ความสงบไม่ได้ มันถึงเห็นกองไฟบินเข้าไป เอ้อเร่ร่อนไป เร่ร่อนไปวันวันหนึ่ง เร่ร่อนไปกับเขา เพราะอะไร เพราะมันทำความสงบต้องเข้าทางจงกรม นั่งสมาธิมันแหยง โอ๋ทุกข์มากๆ เอ้าเราจะใช้ความทุกข์เพื่อแลกกับความสงบ ใช้ความทุกข์เพื่อแสวงหาความสุข ใช้ความทุกข์เพื่อพ้นจากความทุกข์

ถ้ามันเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาเหงื่อไหลไคลย้อย อดนอนผ่อนอาหาร เราเอาชีวิตเราเข้าแลกเลย ถ้าอดนอนผ่อนอาหารเวลามันหิวมันกระหาย คนเรามันช็อกตายได้นะ เราอยู่กับหลวงตามหาบัวมา ท่านพยายามจะบอกว่า “ถ้าอดนอนผ่อนอาหารมันต้องวัดด้วยกำลังของคน เรานี่กำลังของคนมันไม่เท่ากันนะ คนจะอดได้มากได้น้อย แต่การอดนั้นเพื่อไปบั่นทอนกิเลสไง กิเลสเวลากินมากเสริมมากมันก็ต้องการมาก คนง่วงนอน นอนเท่าไรก็ไม่มีวันจบ ยิ่งนอนยิ่งง่วง คนง่วงนอนแล้วดัดแปลงมันให้มันได้เท่านี้ๆ พอมันชัดเจนแล้วมันจะแก้การง่วงเหงาหาวนอนได้

การอดนอนผ่อนอาหารมันเป็นวิธีการอันหนึ่ง เป็นวิธีการที่เราจะผ่อนกิเลสไม่ให้มันกล้าแข็งจนเกินไป แล้วเราก็จะใช้สติปัญญาต่อเนื่องไป การอดอาหารนี้เป็นวิธีการเท่านั้น แต่เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา มันต้องเข้าไปสู่มรรคอยู่นั่นล่ะ เราก็ไม่ใช่แมงเม่าเหมือนกัน จะอดอาหารโชว์เขา อดอาหารว่าฉันนี่เป็นนักปฏิบัติ ไอ้นั่นก็แอฟริกาไง ไปดูไอ้พวกที่เขาขาดสารอาหารสิ นั้นเขาอดเพราะว่าเขาทุกข์เขาจน เขาอดอาหารเพราะว่าเขาไปเกิดในประเทศอย่างนั้น 

แต่ของเรานี่สมณะ เกิดมาเป็นสมณะ เกิดมาเป็นมนุษย์ได้มาบวชในพระพุทธ-ศาสนา เป็นสมณะเป็นพระ ชาวพุทธเขาเต็มใจใส่บาตร เช้าบิณฑบาตมาอาหารเต็มบาตรทั้งนั้น แต่เราเสียสละ เราอยากจะต่อสู้กับกิเลส ไม่ใช่ว่ามันไม่มี ไม่ใช่ว่าไม่มีอาหารกิน ไม่ใช่ว่ามันไม่มีอย่างนั้น เว้นไว้แต่ไปธุดงค์ ธุดงค์เป็นบางครั้งบางคราวมันพลัดมันหลง มันไปในหมู่บ้านเล็กหมู่บ้านน้อยอาจจะขาดแคลนบ้าง การขาดแคลนบ้างอันนั้นมันก็เป็นการวัดบารมี เอ้อเราทำมาๆ ถ้ามันมีบารมีนะ มันก็จะมีผู้ชักจูง หลงทางนะ ไปทางนี้ผิดนะ ต้องไปทางนี้ ไปแล้วมันก็เจอหมู่บ้าน เจออะไร มันก็ไม่หลง อันนี้มันมีบ้างเป็นบางครั้งบางคราว 

แต่ของมันมี หลวงตาท่านพูดประจำ “พระประพฤติปฏิบัติถ้าไม่มีใครใส่บาตร ถ้ามันจะทุกข์มันยาก อยากจะเห็น” ท่านอยากเห็นพระที่ไม่มีใครส่งเสริม ท่านอยากเห็นมากเลย แต่นี้มันมีแต่จะไปซื้อเขา มีแต่จะไปฉ้อฉลเขา ไอ้อย่างนั้นมันเรื่องของเขา แต่พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แล้วไม่มีใครใส่บาตรให้ฉัน หลวงตาท่านพูดประจำว่า “เราอยากเห็นว่ะ!” ท่านยังบอกว่า “การอดนอนผ่อนอาหารไม่ใช่ประชดชีวิต ไม่ใช่ว่าเราไม่มี มีๆ มีเยอะด้วย” 

ถ้ามีเยอะด้วย หลง มีเยอะ เขาศรัทธาเขามีความเชื่อ มีเยอะก็สนองศรัทธาๆ สนองศรัทธาเสร็จแล้วก็นั่งสัปหงกโงกง่วง สิ่งใดที่เป็นไม่เป็นประโยชน์ ถ้าไม่มีปัญญาครูบาอาจารย์ท่านพยายามจะชักนำเรา ท่านพยายามจะชี้นำ ควาญประจำช้างๆ ท่านจะคอยดูว่าช้างอย่ากินมากนัก ถ้ากินแล้วมันอืดอาด เออช้างก็กินพอประมาณเท่านั้นแหละ ช้างก็ได้คึกคัก

นี่ไง มันมี ไม่ใช่มันไม่มี ที่อดนอนผ่อนอาหารมันมีสมบูรณ์มันมีพร้อมทั้งนั้น แต่แต่มันเกิดที่ปัญญาไง มันเกิดที่ปัญญาเพราะเราปฏิบัติแล้วมันทุกข์มันยาก ปฏิบัติแล้วมันไม่ได้ผลไง มันไม่ได้ผลเราก็ใช้ผ่อนบ้างอะไรบ้าง แต่ผ่อนมาเพื่อใช้สติปัญญา เวลาอดนอนผ่อนอาหารร่างกายมันจะเบา มันจะไม่หนักหน่วงธาตุขันธ์ทับจิต ธาตุขันธ์คือร่างกายมันสมบูรณ์ ร่างกายมันเหลือเฟือ พลังงานมันมาก มันก็มีกำลังมากกว่า จิตใจเรานี่เป็นนามธรรมมันต้องอาศัยร่างกายนี้นะ 

เวลาคนเกิดมาที่เกิดเป็นมนุษย์ เวลาปฏิสนธิในไข่ ในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ กำเนิด ๔ มันได้สถานะความเป็นมนุษย์มันก็ร่างกายนี่ จิตมันกำเนิดนั้นไง ถ้าเกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นเทวดามันก็เป็นทิพย์ เห็นไหม มันเป็นทิพย์ มันไม่มีร่างกายไง ไม่ต้องเอาอาหารมาบำรุงร่างกาย เกิดเป็นพรหม กำเนิด ๔ มันผัสสาหารอาหารที่เป็นนามธรรมของเขามี

แต่เกิดเป็นมนุษย์มันมีธาตุ ๔ แล้วธาตุ ๔ ขึ้นมา เห็นไหม ธาตุมันมีอยู่แล้วร่างกาย นี่เกิดเป็นมนุษย์ถึงมีวาสนาเพราะมันมีธาตุ ๔ ธาตุ ๔ มันหิวตลอด โรคหิวเป็นโรคประจำตัวอยู่แล้ว เราบวชมาเป็นพระ ฉันอาหารก็มื้อเดียวอยู่แล้ว ทีแรกใครบวชใหม่ๆ ก็กลัว กลัวอยู่นั่นน่ะ เวลาบวชไปแล้วนะ เออมื้อเดียวเหลือเฟือ มื้อเดียวมันก็ไม่เห็นตาย แล้วเวลาจะปฏิบัติขึ้นมายังผ่อนมันอีก เห็นไหม ผ่อนๆ เพราะธาตุขันธ์ๆ

คนฉลาดคนที่เขาดูแลรักษา แล้วเวลามีสติปัญญาขึ้นมามันจะเข้าสู่มรรคแล้ว ศีล สมาธิ ปัญญา จิตสงบแล้วยกขึ้นสู่สติปัฏฐาน ๔ เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง แต่ก่อนที่มันจะสงบ คนเราสงบแล้วไปรู้ไปเห็นต่างๆ มันเกิดนิมิต สิ่งที่เป็นนิมิตมันเป็นอำนาจวาสนาของจิต จิตที่มีวาสนามันจะไปรู้ไปเห็นนั่นเป็นอำนาจวาสนาของคน คำว่า “อำนาจวาสนา” มันเป็นพันธุกรรมของจิต มันเป็นดีเอ็นเอของจิต คือเขาทำมา

จริตนิสัยอย่างไรแล้วแต่ ส่วนใหญ่แล้วจริตนิสัยจะอ่อนด้อย ไปรู้ไปเห็นชอบ ชอบไสยศาสตร์ คำว่า “ไสยศาสตร์” คือจิตวิญญาณ คำว่า “ไสยศาสตร์” คือผี แล้วจิตมันเป็นอย่างนั้น มันไม่ผ่านตรงนี้เข้ามา มันเข้าสมาธิไม่ได้ มันเป็นอยู่อย่างนั้น มันเป็นเงา เราไปยืนที่ไหนก็มีเงา ธรรมชาติของจิตมันมีความรู้สึกๆ จิตสงบแล้วมันจะรู้จะเห็น นั่นล่ะเหมือนกับเรายืนอยู่ที่มีแสง เวลากลางวันมันจะมีเงาตลอดเวลา คนไม่มีเงาน่ะคนตาย คนต้องมีเงา 

จิตมันก็มีอาการทั้งนั้น อาการของมันๆ ถ้าครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติท่านรู้ ไร้สาระ จะบอกว่าไร้สาระไม่ได้ สาระสิ เพราะสาระในการปฏิบัติ แต่มันเป็นเด็กๆ ไง เวลาทางโลกเหมือนไร้สาระ แต่มันก็ชอบ มันชอบเพราะอะไร เพราะสันดาน สันดานมันเป็นอย่างนั้น สันดานของจิตเป็นอย่างนั้น อวิชชาเป็นอย่างนั้น แล้วอ่อนด้อยมาก 

เราตอบปัญหาฟังแต่เรื่องนี้ รู้นั่น เห็นนั่น กรรมนั่น ของนั่น โดนนั่น โดนนี่ บ้าบอคอแตก เพราะเขาขาดไตรสรณาคมน์ เขาขาดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าเขามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในใจของเขา เขาจะไม่ไปตื่นเต้นกับเรื่องอย่างนั้น ถ้าเขามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นแก้วสารพัดนึกของเขา เขาจะไม่ออกไปวุ่นวายกับอาการอย่างนั้น แต่เพราะว่ามันอ่อนด้อย แล้วอ้างตนอวดตนเป็นลูกศิษย์กรรมฐาน เป็นลูกศิษย์พระป่าแต่อ่อนไหวมาก รู้ไปหมด ส่งออกไปทั้งนั้นเลย 

แค่เขามีไตรสรณาคมน์แล้วจบ ถ้าเขาอยู่กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ของเขา ถ้าเขาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มันจากไตรสรณาคมน์จนเข้าสู่ตัวจิตของตน คือพุทธะ จากไตรสรณาคมน์ เห็นไหม เขาถือไตรสรณาคมน์จนจิตสงบเข้ามาเป็นผู้รู้ ผู้รู้คือพุทธะ พอเข้าถึงพุทธะ เราอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าจิตสงบแล้วเราฝึกหัดใช้ปัญญาของเรา 

ถ้าปัญญาของเรา เราไม่ได้ซื้อไม่ได้ขาย เราไม่ได้อ้อนวอนใคร เราไม่ได้ใครให้ เราไม่ได้ให้อาจารย์ชื่นชมเรา เราไม่ให้อาจารย์การันตีเรา เราทำของเราเอง มันต้องทำของเราเองทั้งนั้น มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกที่เกิดขึ้นกับใจดวงนี้ ถ้าใจดวงนี้ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ให้มันเป็นจริงขึ้นมา ใครจะปฏิเสธ ใครจะไม่ยอมรับมันเรื่องของเขา 

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ ผู้ที่ไปฟังองค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าแล้วสงสัยก็ไปฟังพระสารีบุตร พระสารีบุตรมาขยายความย่อความธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาพระไปฟังพระสารีบุตรขยายความย่อความแล้วก็กลับไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์อย่างนี้ แล้วเขาก็ไปถามพระสารีบุตร พระสารีบุตรขยายความย่อความอย่างนี้ถูกต้องไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าเราพูด เราก็พูดอย่างนั้น

เราจะบอกว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสารีบุตร ท่านพูดเหมือนกัน ท่านพูดเหมือนกัน ท่านเข้าใจกัน คนที่มีคุณธรรม ถ้าเรามีหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เรามีครูบาอาจารย์ของเรา เราต้องเข้าใจ เราต้องเข้าใจความหมาย เข้าใจเจตนาของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านให้ทำอย่างใด เราต้องเข้าใจ

นี่ธรรมะ ดูสิ ในวงกรรมฐาน เห็นไหม วงกรรมฐานลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น ตั้งแต่หลวงปู่แหวน ตั้งแต่หลวงปู่ขาว หลวงปู่ชอบลงมา ครูบาอาจารย์ของเราท่านไม่ได้พูดแตกต่างกับหลวงปู่มั่นเลย เพราะจิตใจของท่านมีคุณธรรมเหมือนกัน ถ้าคนมีคุณธรรมเหมือนกันมันเป็นคุณธรรมประจำองค์ของแต่ละองค์ท่าน องค์ท่านที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ควาญประจำช้าง คือหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเป็นคนฝึกมา พอเป็นคนฝึกมาคนที่มันรู้จริงเห็นจริงขึ้นมา เวลาสื่อความหมายแล้วมันสื่อเหมือนกัน

อริยสัจมีหนึ่งเดียว จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ การกลั่นออกมาจากอริยสัจคือกลั่นออกมาจากมรรค ศีล สมาธิ ปัญญา มรรค ๘ ความสมดุลของมรรค มรรคสามัคคี เวลามรรคสามัคคี สิ่งที่สัจจะความจริง เวลามันเกิดขึ้นมันเกิดขึ้นจากในใจดวงนั้น นี่ธรรมะเกิดอย่างนี้ ไม่ใช่ซื้อเอา ไม่ใช่หว่านล้อมเอา ไม่ใช่ชักจูงเอา ไม่มี!

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมมาแล้วปฏิเสธ ปฏิเสธเทวดา อินทร์ พรหมทั้งหมด เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สตฺถา เทว มนุสฺสานํ สอนตั้งแต่พรหมลงมา ไปสอนพระพุทธมารดาบนสวรรค์ สอนหมด นี่ไง

พระอรหันต์เหนือโลก เหนือ ๓ โลกธาตุ เหนือทั้งหมด ถ้าเหนืออย่างนั้นแล้ว สิ่งที่เป็นสัจจะความจริงอย่างนี้ในใจอย่างนั้น เวลามันเหนืออย่างนั้น มันถึงเหนือเหมือนกันหมดไง ครูบาอาจารย์ของเราถึงมีสัจจะมีความจริงไง 

ถ้าสัจจะความจริงนี้มันต้องประพฤติปฏิบัติเอา มันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริง ถ้าความจริงนะ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาพระกัสสปะคุยธรรมะกัน เหมือนกัน อันเดียวกัน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นกับครูบา-อาจารย์ของเราเวลาท่านสื่อธรรมก็เหมือนกัน ไม่มีพิสดารอย่างนี้ ไม่มีการจะซื้อธรรมะ จะซื้อเอา จะแสวงหาเอา ไม่มี ธรรมะซื้อไม่ได้ เอวัง